วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

พระราชดำรัสของในหลวง ข้อคิดในการใช้ชีวิต



  1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
  2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย
  3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น
  4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งอยู่ริมทางเสียบ้าง
  5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆเข้าไว้ แต่เติมความสนุกสนานเข้าไปด้วยเล็กน้อย
  6. หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
  7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
  8. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด
  9. ใครจะวิจารณ์เราอย่างไรก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
  10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”
  11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ
  12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
  13. ใช้เวลาน้อยๆในการคิดว่า “ใคร” เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า “อะไร” คือสิ่งที่ถูก
  14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ “คนโหดร้าย” แต่เราต่อสู้กับ “ความโหดร้าย” ในตัวคน
  15. คิดให้รอบคอบ ก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
  16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
  17. เป็นคนถ่อมตน คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่เกิด
  18. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
  19. อย่าไปหวังเลยว่า ชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
  20. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า “เป็นยังไงบ้างตอนนี้” ก็บอกเขาไปเลยว่า “สบายมาก”
  21. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมี มันก็วันละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าๆกับที่หลุยส์ ปาสเตอร์ ไมเคิลแอนเจลโล แม่ชีเทราซา ลีโอนาร์โด ดาวินชี ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ด ไอน์สไตน์ เขามีนั่นเอง
  22. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
  23. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น
  24. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
  25. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆใหม่ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
  26. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น
  27. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
  28. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ “กว้างขวาง” มากกว่าการมีชีวิตให้ “ยืนยาว”
  29. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
By courtesy of Usa Simasathien


พระคุณของพ่อหลวงไม่มีสิ่งใดที่จะนำมาทดแทนได้ในชาตินี้
พระองค์ทรงมีอำนาจมากมายในแผ่นดิน
แต่สิ่งที่พระองค์ทรงใช้ในพระราชอำนาจคือ...
นำมาใช้เพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทย ลูกของพระองค์ท่าน...
จะมีคนไทยกี่คนที่ได้มองเห็นถึงสิ่งนี้
จะมีคนไทยกี่คนที่ พยายามทดแทนบุญคุณของพระองค์ท่าน...
พ่อ ไม่เคยบอกให้เรารักพ่อ...
แต่พ่อทำให้เราเห็นว่า พ่อ รัก พวก เรา...

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

ความสุขของ พระมหากษัตริย์

ยังจำกันได้ไหม
5ปีที่ผ่านมาเราใส่ เสื้อเหลืองเราใส่ สาย รัดข้อมือสีเหลือง คนนับแสนนับล้าน ไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาที
วันนั้น 

ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราได้แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติ
ยังซื่อ สัตย์ จงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีและพระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย
พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจ

เพราะทรงงานนักเกิน ไปในขณะ เดียวกันสมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนัก อยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่น กัน




ยังจำกันได้ไหม29ปีที่ผ่านมา
19-20 พฤษภาคม 2535คนไทยฆ่ากันเองอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ในหลวงทรงเรียกให้แกนนำของทั้งสองฝ่ายเข้าเฝ้า ทุกสิ่งทุกอย่างยุติโดยพลัน โดยเฉพาะพระราชดำรัสที่ว่า ไม่มีใครชนะแต่เป็นประเทศที่แพ้ต่างหาก

38ปีที่ผ่านมา
วัน ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิด วิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด
วันนั้นนิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวน ประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น ตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนัก ศึกษาก็เผาสถานที่ราชการเกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกัน เอง
คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวน จิตรลดาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคน ว่า "คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับ พลัน"





จนสร้างความสงสัยให้กับชาวต่างชาติว่า "เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้ง ประเทศได้อย่างนั้น?"ทำให้คิดถึงประโยค ที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้ สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น 'SOUL OF THE NATION' หรือ "จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ"

ยังจำกันได้ไหม
เมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯปี2526 ขณะที่ใครหลายคนนับล้านกำลังพักผ่อนนอนหลังอย่างสบายๆบนเตียง กำลังพึ่งกลับจากเที่ยวราตรีอย่างสนุกสนาน แต่ในหลวงยังต้องตากฝนที่ตกพรำๆถือแผนที่ดูพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมให้ประชาชนอยู่เลยตอนตี2
มาวันนี้น้ำก็ท่วมใหญ่ทั่วประเทศอีกแต่ในหลวงพระราชินีพระวรกายไม่แข็งแรงดังเดิมแล้ว ยังทรงรักษาพระอาการประชวรอยู่ แต่ก็ยังต้องทรงงานช่วยเหลือคนไทย คอยแนะนำการแก้ปัญหาน้ำท่วมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เลย





แล้ววันนี้ตอนนี้พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ เราสร้างค่านิยมผิดๆว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด โดยไม่สนใจที่มาของความรวยนั้น เรายอมรับคนโกงได้ถ้าเขาเอื้อประโยชน์ให้เรา เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส เราเรียก ร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ " สิทธิ" แต่ลืมคำว่า " หน้าที่" และไม่ยอมเคารพสิทธิของคนอื่น เราเรียกร้องให้คนอื่นฟังตนเองแต่ไมตัวเราไม่ยอมฟังความเห็นที่แตกต่าง
เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันที่ภาคใต้และเราก็แบ่งสีแบ่งข้างและตีกันเองเมื่อช่วง2-3ปีที่ผ่านมา
เราสร้างกฎหมู่เหนือกฎหมายไม่ยอมรับกติกาบ้านเมืองถ้าศาลตัดสินเข้าประโยชน์เราๆว่ายุติธรรมแต่ถ้าเราไม่ได้ประโยชน์จากคำตัดสินนั้นเราว่าไม่ยุติธรรม?
เราเดินขบวนทุกครั้งที่เราไม่เห็นด้วย เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกันเพราะไม่ยอมรับฟังคนที่คิดเห็นต่างกับเรา
และทั้งโลกกำลัง จับตามองเราอยู่



เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า
พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวของเราจะทรงเสียพระทัย เพียงใด84 ชันษา ของ พระองค์ท่าน หากเปรียบ กับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ ได้รับการดูแล และ ระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก หรือกระทบกระเทือนใจ แต่ อย่างใด

แต่กลับ เป็นว่า ในปีที่ครบ 84 ชันษา ของ พระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวาย การ ดูแลของคณะแพทย์ พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ พระองค์ไม่เคยเรียกร้องให้พวกเรารักพระองค์และครอบครัวแต่พระองค์เรียกร้องให้เรารู้รักษามัคคีกัน ช่วยเหลือกัน รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง แม้จะมีคนว่ากล่าวให้ร้ายพระองค์และครอบครัวพระองค์ก็ไม่เคยมาตอบโต้ใดๆ ไม่ฟ้องร้องเป็นความกับพสกนิกรของพระองค์เอง

ความสุข ของพระมหากษัตริย์พระองค์ นี้ ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ ล้อมด้วยข้าราช บริพาร
หากแต่ ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ เมื่อ ประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคี กัน รู้จักความพอเพียง และมีสติ- เพียงเท่านี้เอง

ในหลวงและครอบครัวของท่านทำอะไรให้กับคนไทยตั้งมากมายมากว่า60ปีแล้วจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังทำอยู่ เราจะต้องให้ในหลวงกับครอบครัวท่านทำอะไรให้กับพวกเราอีกบ้างเราถึงจะพอใจกัน จะให้ท่านไปอยู่ที่ไหนคนบางกลุ่มบางพวกถึงจะพอใจทั้งที่ไม่รู้ว่าพวกคุณทำอะไรให้กับแผ่นดินไทยเท่าท่านบ้าง

วันนี้เรากำลังทำอะไรกัน ใช้ชีวิตกันอย่างฟุ่มเฟือย แสวงหาวัตถุไม่ว่าจะชอบไม่ชอบ สร้างค่านิยมผิดๆ ยกย่องคนคดโกง ทะเลาะกัน แย่งชิงอำนาจกัน เอาประชาชนเป็นเครื่องมือแสวหาอำนาจ มีคนจาบจ้วงท่านและครอบครัวเราก็นิ่งเฉย
หรือนี่คือการแสดงความกตัญญูต่อในหลวงของเรา





เรื่่องราวจากบันทึกของ คุณพุทธมนต์ คคนัมพร

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554



ครองแผ่นดินโดยธรรม

อัญเชิญพระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช 

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ทุกบ้านทุกถิ่น ภูเขาทุกดอยทุกดง
หุบเหวทุ่งนาไพรพง  ทุกเขื่อนคลองที่ทุกข์ทน
หากแผ่นดินนั้นเป็นไทย เสด็จไปถึงทุกชั้นชน
ดังสายฝนโปรยปรายให้คลายทุกข์เข็ญ
น้ำพระทัยกว้างใหญ่มหาศาล  ทรงงานมิเคยว่างเว้น
พระราชทานความร่มเย็น  ด้วยแนวคิดอันยั่งยืน

พระองค์ทรงเป็น ตาน้ำของแรงบันดาลใจ
ยามทุกข์ยามท้อเมื่อใด พระราชนิพนธ์สอนสั่ง
เมื่อตกลงไปในน้ำ อย่ามัวถามเมื่อไรจะถึงฝั่ง
จงว่ายไปด้วยพลัง ว่ายด้วยธรรมของความเพียร
แม้นยามใดบ้านเมืองจะมืดมน เหลือแต่หนทางเดินที่วนเวียน
พระราชดำรัสดังแสงเทียน ส่องให้เห็นถึงปลายทาง

ทุกย่านทุกหย่อมย่อมมีบ้างความแตกต่าง
ศาสนาพูดจาท่าทาง วัฒนธรรมท้องถิ่น
หลากหลายในชาติเชื้อพันธุ์ มารวมกันบนแผ่นผืนดิน
จงรักต่อพระภูมินทร์และแผ่นดินนี้
แม้ว่าความแตกต่างจะมากมาย แต่ในใจยังรักและสามัคคี
หนึ่งคำที่ทำให้คิดดี คือมีในหลวงองค์เดียวกัน

***ครองแล้วทรงครองแผ่นดิน ครองหัวใจไทยทั้งแผ่นดิน 
ธ ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจไทยทุกดวง 
เราผองคนไทยจึงมารวมกัน เปล่งเสียงจากใจถวายพระพร 
ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ



นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 
จนถึงพุทธศักราช 2549 ในปัจจุบัน รวมระยะเวลา 60 ปี เพราะเหตุใดพระมหากษัตริย์พระองค์นี้
จึงเป็นที่รักใคร่แห่งปวงพสกนิกร
คำถามเช่นนี้มิยากนักที่จะหาคำตอบ เพียงแต่ท่านเดินออกไปนอกบ้าน แล้วถามใครสักคนที่ผ่านมา 

จะพบว่าพวกเขาหรือแม้แต่ตัวท่านเองมีคำตอบอยู่แล้วในใจและอยากพูดออกไป


"ท่านเป็นครู เป็นทุกอย่างของแผ่นดิน หากดิฉันทำการสนองพระราชดำริอันใดได้ก็จะปฏิบัติให้ได้เต็มที่
ต็มกำลัง" ซัลมา เซ็นหลวง อายุ 30 ปี อาชีพ ครูสอนเด็กเล็กอิสลาม ชุมชนมุสลิมบ้านป่า


"ยายขนลุกไปหมดเลย เมื่อรู้ว่าพระรูปนั้นเป็นในหลวง ปลื้มใจที่สุด คิดว่านี่เป็นบุญสูงสุดของเราแล้ว 
ที่ได้พบกับท่าน" นาง สุมน รามรสูตร อายุ 80 ปี บุคคลในภาพถ่าย (รูปในหลวงเสด็จบิณฑบาต)


นั่นคือส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของพสกนิกรได้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์ของพวกเขา


ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยกล่าวไว้ว่า “...ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่า
พระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใดที่คนทั้งเมืองเขาเป็นเจ้าของให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนๆทรงครองแผ่นดิน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้ทรงครองหัวใจคน...”






พระมหากษัตริย์องค์นี้จึงเป็นที่พึ่งให้กับพสกนิกรมากกว่า 60 ปี ตลอดระยะเวลาครองราชย์ที่ยาวนานที่สุดในโลก


"ถ้าประชาชนไม่ละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนได้อย่างไร


นี่คือถ้อยคำที่พระองค์ตรัสตอบในพระราชหฤทัย เมื่อทรงได้ยินเสียงตะโกนแทรกท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพรของกลุ่มพสกนิกร ผู้มารอเฝ้าฯรับเสด็จขณะเสด็จนิวัตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า "ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน"
พระองค์มิทรงนึกตอบแต่เพียงในพระราชหฤทัยเท่านั้น การปฏิบัติของพระองค์เป็นตัวอย่างอันดียิ่งสำหรับนำไปปฏิบัติตา
ม 


ดังเช่นเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาคเอเชีย ท่านได้พระราชทานแนวทางการแก้ปัญหาด้วยปรัชญาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ปรัชญาดังกล่าวเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตโดยมีความพอประมาณอย่างมีเหตุผล ยึดทางสายกลาง และแนวคิดนี้สามารถใช้ได้กับทุกคนทุกฝ่าย ดังพระบรมราโชวาทที่พระองค์พระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยในตอนหนึ่งที่ว่า... 
"...การที่จะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าเรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน..."






แม้พระองค์จะทรงมีฐานะอยู่เหนือการเมืองและทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของไทย 
ตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อกฎหมายต่างๆที่ผ่านการเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว 
พระองค์ก็จะมีพระราชวินิจฉัยก่อนที่จะลงพระปรมาภิไธย ในยามที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศที่มีการปะทะกัน มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต และแม้แต่วิกฤติขัดแย้งในช่วงปัจจุบันขณะ สถานการณ์คลี่คลายลงได้ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ผลแห่งการปฏิบัติที่ลุเข้าสู่ปีที่ 60 คงจะพอตอบคำถามหากผู้ใดนึกคิดสงสัยว่าเหตุใด และเหตุใด "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
"





ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปวงพสกนิกรทั้งหลายขอพระองค์ทรงพระเจริญตราบนานเท่านานเทอญ 
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ


เรื่องราวและรูปภาพ จากบันทึกของคุณพุทธมนต์ คคนัมพร

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ผู้ชนะประกวดเรียงความ “ทำไมเราจึงรัก พระเจ้าอยู่หัว”


หนูเป็นเด็กต่างจังหวัด อยู่ปักษ์ใต้ ตั้งแต่จำความได้ในทีวีหนูก็เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งเดินนำหน้า 
แล้วมีผู้คนเดินตามหลังท่านมากมายไปหมด พร้อมกันนั้นก็มีผู้คนนั่งกับพื้นต้อนรับท่านทุกที่ที่ท่านไป 
ผู้ชายคนนั้นเป็นใครนะ จนโตหนูถึงได้รู้ว่าเขาคือผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินเกิดของหนูเอง 
และหนูก็เห็นพระราชกรณียกิจของท่านเยอะแยะมากมายทางทีวี จนทำให้หนูปลาบปลื้มท่านมาก 
ยิ่งเป็นช่วงหน้าฝน ฝนตกหนัก น้ำท่วมท่านก็เสด็จไปปักษ์ใต้เพื่อดูปัญหาความเดือดร้อน 
และท่านก็โปรดให้สร้างเขื่อนคลองชลประทาน ส่วนช่วงหน้าแล้งท่านก็เสด็จไปภาคอีสาน 
ไปดูความแห้งแล้งของคนอีสานและท่านก็ทำฝนเทียมช่วยเหลือประชาชน หนูได้แต่คิดตลอดเวลาว่า... 
ทำไมผู้ชายคนนี้ต้องลำบากตัวเองขนาดนี้ ท่านเดินทางไปทุกที่ ที่ทุรกันดารและสุดแสนจะลำบาก 
ท่านทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ท่านทรงเก่งมาก สามารถรู้หมดว่าในพื้นที่เมืองไทยว่าตรงไหน
เป็นภูมิประเทศลักษณะไหน แอ่งน้ำ ภูเขา อย่างเช่น ใกล้บ้านหนูที่ อ.ปากพนัง ท่านก็ทำอ่างเก็บน้ำใหญ่โตมาก 
เพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และอำนวยประโยชน์ต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในบริเวณ อ.ปากพนัง 
ญาติพี่น้องหนูที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นได้ประกอบอาชีพทั้งการเกษตรและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ทั้งปี 




สำหรับตัวหนูแล้วหนูคิดและฝันไว้ว่า สักวันหนึ่งหนูจะต้องเห็นผู้ชายคนนี้ ตัวจริง ๆ สักครั้งในชีวิต แล้วหนูก็มีความพยายามมาก 
คือวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ซึ่งก่อนวันเกิดท่าน 1 วัน เพราะวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันพ่อแห่งชาติ 
หนูทราบข่าวว่าท่านจะเสด็จกลับจากวังไกลกังวลเพื่อมารร่วมงานที่ทางรัฐบาลได้จัดขึ้น หนูก็เลยมารอรับเสด็จท่านอยู่หนาโรงเรียนสวนจิตรลดา ท่านเสด็จมาตอน เกือบ 1 ทุ่ม ท่านนั่งมากับพระราชินี 
พระราชินีท่านโบกมือให้หนู แต่พระเจ้าอยู่หัวนั่งนิ่งมากค่ะ แต่หนูเห็นพระพักตร์ท่านชัดมาก
นูดีใจมาก และก่อนหน้านี้ หนูก็ไปงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 
ที่มีผู้คนเป็นแสน หนูก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีความพยายาม หนูขอลาพักร้อนไป 1 วัน 
เพื่อไปเฝ้ารับเสด็จท่านที่ลานพระรูปทรงม้า หนูตื่นตั้งแต่ ตี 4 ซื้อน้ำเปล่า 1 ขวด กับ ขนมปัง 1 ถุง 
เพื่อไปรอรับเสด็จท่าน ถึงขนาดที่รอนั้นหนูลำบากขนาดไหนห้องน้ำก็ไม่พอ ร้อนก็ร้อนแต่หนูทนได้ค่ะ เพราะหนูคิดว่า...ท่านทรงเหนื่อยกวาหนูมากมายนัก และท่านก็เหนื่อยมาตลอดชีวิตของ
ท่านเพื่อประชาชนของท่าน และท่านก็ออกมาจากหน้าต่างมาโบกไม้โบกมือให้กับหนูและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ และทุกท่านก็โบกธงและพูดพร้อมกันว่า...
ขอให้ท่าน ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ พร้อม ๆ กันเสียงก้องดังมาก หนูคิดว่าสิ่งที่หนูเห็นและได้ยินนั้นคือ บารมีที่ท่านได้ทำไว้ ทุกคนพร้อมใจกันเปล่งเสียงดังตะโกนโดยไม่มีใครมาบอกคนที่นั่งว่าต้องตะโกนแบบนี้นะ แต่ทุกคนก็เปล่งเสียงดังออกมาพรอมกัน หนูรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก จนขนลุกซู่




หนูคงบรรยายความรู้สึกที่มีต่อท่านได้ไม่หมดหน้ากระดาษแค่แผ่นเดียว เพราะทุกกิจกรรม ไม่ว่าที่เมืองทอง 
ที่ท้องสนามหลวง หรือซุ้มที่ถนนราชดำเนินทั้งนอกและใน และกับคนเป็นหมื่นๆค่ะที่หนูไปต่อคิวเพื่อรอรับพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัว 
วันนั้นหนูยืนต่อคิวและกลับถึงบ้าน ตี 1 หนูก็ทำมาแล้ว เพื่อพระฉายาลักษณ์ของท่านเพียงรูปเดียว 
และล่าสุดหนูได้ไปร่วมงานของสโมสรสันติบาลจัดขึ้น เนื่องในวันฉัตรมงคลที่ลานพระรูปทรงม้า หนูไปมาเมื่อวันที่ 7 พ.ค .53 
ไปนั่งดูพระกรณียกิจของท่าน นั่งดูแล้วถึงกับน้ำตาซึมเลยทีเดียว เพราะท่านทรงเหน็ดเหนื่อยมากจริง ๆ ค่ะ 
แล้วหนูก็กลับมาคิดว่าตอนนี้ท่านไม่สบายอยู่ที่ รพ. ศิริราช อาจเป็นเพราะเมื่อตอนที่ท่านร่างกายแข็งแรงท่านทรงทำงานหนักมาก โดยไม่ย่อท้อเลย พอท่านอายุเพิ่มมากขึ้นทำให้ร่างกายของท่านทรุดโทรมมาก




สำหรับหนูแล้ว หนูคิดว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ท่านเกิดมาพร้อมบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ 
ท่านเหมือนพระพุทธเจ้าซึ่งหนูคิดเองอยู่ตลอดเวลา สำหรับหนูแล้วกระดาษที่เป็นรูปท่านหรือปฏิทินหนูไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้นอกจากเก็บไว้ 
อีกอย่างหนึ่งที่หนูอยากจะกล่าวในบทความนี้ คือการใช้ชีวิตแต่พอเพียง อย่างที่ท่านให้ข้อคิดไว้ 
ทุกวันนี้ท่านสอนเกษตรกร หากมีพื้นที่ทำกินอยู่แปลงหนึ่ง ต้องแบ่งทำมาหากิจอย่างไรบ้าง 
ส่วนหนึ่งปลูกบ้าน ส่วนหนึ่งเลี้ยงปลา อีกส่วนหนึ่ง ปลูกผัก หนูเองก็ใช้ชีวิตอย่างนั้น 
หนูทำงานอยู่ที่นี่ ถือว่าเงินเดือนหนูน้อยก็จริงแต่หนูก็ใช้ชีวิตไม่ฟุ่มเฟือย แบ่งเงินเป็น 3 ส่วน 
ส่วนหนึ่งเก็บฝากแบงค์ประจำ ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้จ่ายภายใน 1 เดือน อีกส่วนหนึ่งก็ซื้อของ
ให้รางวัลตัวเองบ้าง หนูอยากให้ทุกคนทำอย่างนี้ค่ะ จะได้สบายไม่มีหนี้สินกัน 




สุดท้ายนี้ หนูคิดว่าเพื่อเป็นการตอบแทนท่าน หนูไม่ต้องคิดทำโครงการใหญ่โตอลังการหรอกค่ะ 
แค่หนูเป็นคนดีในสังคมและไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นก็เพียงพอแล้วค่ะ ท่านจะได้สบายใจ 
ไม่เครียด และจะได้ไม่มีผลต่อกระทบต่อร่างกายของท่าน ท่านจะได้มีความสุขสุขภาพแข็งแร
อยู่คู่บ้านคู่เมืองกับคนไทยทั้งประเทศตลอดไปยิ่งยืนนานค่ะ

ด้วยความรู้สึกของ นส.มยุดา สมเพ็ชร แผนกพัฒนาธุรกิจ รพ.วิภาวดี

นำเรียงความนี้มาจาก บันทึกของ คุณพุทธมนต์ คคนัมพร